หลอดเลือดหัวใจตีบ ภัยร้ายที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

หลอดเลือดหัวใจตีบ คืออะไร

หลอดเลือดหัวใจตีบ คือ ภาวะที่หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเกิดการตีบแคบลงจากการสะสมของไขมันและสารอื่น ๆ ที่เรียกว่าคราบพลัค ซึ่งเกาะตัวอยู่ตามผนังด้านในของหลอดเลือด เมื่อคราบพลัคสะสมมากขึ้น หลอดเลือดจะแคบลง ทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้น้อยลง หากเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ จะส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ และอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเสียหายถาวร หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

หลอดเลือดหัวใจตีบ เกิดจากอะไร

  • การสะสมของไขมันในเลือด เมื่อคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีมีปริมาณสูง จะเกาะสะสมตามผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดคราบพลัค และเป็นต้นเหตุสำคัญของการตีบของหลอดเลือดหัวใจ
  • ความดันโลหิตสูง ทำให้ผนังหลอดเลือดเสียหายง่าย เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการสะสมของไขมันและการอักเสบในผนังหลอดเลือด
  • เบาหวาน เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงต่อเนื่อง ทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • การสูบบุหรี่ เพราะนิโคตินและสารพิษในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดตัว เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดคราบพลัค และทำให้หลอดเลือดเปราะบาง
  • เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เครียดสะสม และพักผ่อนไม่เพียงพอ ล้วนเป็นตัวเร่งให้หลอดเลือดหัวใจเสื่อมเร็ว

อาการที่มักพบในผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

  • รู้สึกเจ็บหรือแน่นที่หน้าอกเหมือนถูกกดทับ โดยเฉพาะตอนออกกำลังกาย หรือรู้สึกเจ็บเมื่อเครียด
  • หายใจไม่อิ่ม รู้สึกว่าเหนื่อยง่ายกว่าปกติ
  • วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เหงื่อออกเย็น
  • เจ็บร้าวไปที่แขนซ้าย คอ หรือกราม
  • คลื่นไส้ เหมือนจะเป็นลม

วิธีป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ออกกำลังกายให้เป็นปกติทุกวัน วันละ 30 นาที เป็นการออกกำลังกายที่ไม่หนักจนเกินไป เช่น วิ่งเหยาะ ๆ เดินเร็ว หรือโยคะ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5 หมู่เป็นประจำ
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ควรตรวจสุขภาพประจำปี เช่น ตรวจความดัน ตรวจไขมันในเลือด ตรวจน้ำตาลในเลือด
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาด
  • ควบคุมอาการเครียดด้วยการทำสมาธิ และพักผ่อนให้เพียงพอ

สรุป

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ แม้จะรักษาให้หายขาดไม่ได้แต่ก็ควรดูแลตัวเองให้ดีเพื่อที่จะสามารถอยู่ร่วมกับอาการต่าง ๆ ได้อย่างไม่ทรมานมาก แต่อย่างไรก็ตามควรเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาจากทางแพทย์จะดีที่สุด เพื่อที่จะได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายเฉียบพลันในอนาคต

บอดี้ วอช ครีมอาบน้ำบำรุงผิว นุ่ม ชุ่มชื้น แลดูสุขภาพดี

 

บอดี้ วอช คืออะไร

บอดี้ วอช คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกายในรูปแบบของเหลวหรือเจล ซึ่งแตกต่างจากสบู่ก้อนที่เราใช้กันมาแต่โบราณ บอดี้ วอชมักมีส่วนผสมของสารทำความสะอาดที่อ่อนโยน น้ำหอม สารให้ความชุ่มชื้น และสารบำรุงผิว โดยออกแบบมาให้สามารถล้างคราบเหงื่อ ไขมัน และสิ่งสกปรกออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ไม่ทำร้ายเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ

ข้อดีของการใช้ บอดี้ วอช แทนสบู่ก้อน

  • เนื้อสัมผัสมีความอ่อนโยนเข้าถึงทุกรูขุมขน ล้างสิ่งสกปรกได้อย่างล้ำลึกและอ่อนโยนไม่ทำให้ผิวแห้งกร้าน
  • กลิ่นหอมติดทนยาวนานกว่าสบู่ก้อน มีหลายกลิ่นให้เลือก
  • เพิ่มความชุ่มชื้น เพราะประกอบไปด้วยมอยส์เจอไรเซอร์และสารสกัดบำรุงผิว รู้สึกได้ทันทีหลังอาบน้ำ
  • สะอาด ปลอดเชื้อ เพราะไม่ได้สัมผัสต่อกันบ่อย ๆ เหมือนสบู่ก้อนลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
  • เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย เพราะมีหลายสูตรให้เลือกใช้

บอดี้ วอช แต่ละประเภทเหมาะกับใครบ้าง

  • บอดี้ วอช ประเภทผิวแห้ง มีส่วนผสมของ เชียร์บัตเตอร์ น้ำมันอัลมอนด์ หรือ น้ำมันมะกอก ช่วยให้สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนานมากขึ้น
  • บอดี้ วอช สำหรับผิวมัน มีส่วนผสมของ ทีทรีออยล์ หรือ ชาร์โคล ที่ช่วยดูดซับความมันส่วนเกิน และลดการเกิดสิวที่หลัง
  • บอดี้ วอช สำหรับผิวแพ้ง่าย ควรปราศจากพาราเบน น้ำหอม สีสังเคราะห์ และใช้สารทำความสะอาดที่อ่อนโยนมาก ควรเป็น บอดี้ วอช ที่เป็นแบบ ออร์แกนิก
  • บอดี้ วอช สำหรับแก้ไขปัญหาผิวให้ดูเรียบเนียนและกระจ่างใส ควรมีส่วนประกอบของ วิตามิน C ไนอาซินาไมด์ หรือที่เรียกว่า วิตามินบี 3 ซึ่งอยู่ในกลุ่มวิตามินบีคอมเพล็กซ์ และ AHA ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว

เคล็ดลับการเลือกบอดี้ วอช ให้เหมาะกับคุณ

  • ควรอ่านส่วนประกอบด้านหลังผลิตภัณฑ์ว่ามีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือไม่
  • ควรเลือกบอดี้ วอช ตามสภาพฤดูกาล เช่น หน้าหนาวเลือกสูตรชุ่มชื้น หน้าร้อนใช้สูตรสดชื่น
  • ควรเลือกขนาดเล็กมาทดลองใช้ก่อน เพื่อทดสอบว่าแพ้หรือไม่ เพราะการซื้อขนาดใหญ่มาตั้งแต่ครั้งแรก หากมีอาการแพ้ หรือใช้แล้วไม่ชอบ จะทำให้เสียเงินเปล่า
  • เช็คค่า pH: สูตรที่ใกล้เคียงผิวประมาณ 5.5 เหมาะกับทุกสภาพผิว เพื่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยที่สุด

บอดี้ วอช ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

  1. บอดี้ วอช ออร์แกนิก ปราศจากเคมี ทำมาจากพืช และไม่ทดลองในสัตว์
  2. บอดี้ วอช แบบรีฟิล ตอบโจทย์สำหรับคนรักโลก ลดการใช้พลาสติก
  3. บอดี้ วอช ที่เน้นกลิ่นแบบ อโรม่าเธอราพี เพื่อช่วยคลายเครียดระหว่างอาบน้ำ
  4. บอดี้ วอช ที่เป็นสูตร 2 in 1 หรือ 3 in 1 เพื่อรวมการอาบน้ำและการบำรุงไว้ในขั้นตอนเดียวกัน
  5. บอดี้ วอช สำหรับผู้ชาย จะมีกลิ่นเข้ม ๆ เพื่อลดกลิ่นเหงื่อไคล

สรุป

บอดี้ วอช คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายในรูปแบบของเหลว ที่ทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก และอ่อนโยน ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย ซึ่งมีหลายสูตรและหลายกลิ่นเพื่อให้เหมาะกับทุกสภาพผิว

แก้ช่องคลอดแห้ง: รู้ทันอาการ พร้อมวิธีดูแลสุขภาพผู้หญิงให้กลับมาชุ่มชื้นเป็นธรรมชาติ

ช่องคลอดแห้ง หรือภาวะช่องคลอดขาดความชุ่มชื้น เป็นเรื่องที่ผู้หญิงหลายคนอาจเคยประสบแต่ไม่กล้าพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นในช่วงวัยหมดประจำเดือน หรือแม้แต่ในวัยทำงาน ปัญหานี้อาจส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นความไม่สบายตัว ขาดความมั่นใจ หรือแม้กระทั่งปัญหาชีวิตคู่ แต่ข่าวดีคือ มีวิธีแก้ช่องคลอดแห้ง ได้หลายวิธีอย่างปลอดภัยและได้ผล

 

ช่องคลอดแห้งคืออะไร?

ช่องคลอดแห้ง (Vaginal Dryness) คือ ภาวะที่ผนังช่องคลอดขาดความชุ่มชื้น มีความบางลง และหล่อลื่นไม่เพียงพอ มักเกิดขึ้นเมื่อระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ซึ่งฮอร์โมนนี้มีหน้าที่สำคัญในการคงความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผนังช่องคลอด

 

สาเหตุของช่องคลอดแห้ง

หลายคนอาจสงสัยว่า ช่องคลอดแห้งเกิดจากอะไร? สาเหตุหลักมีดังนี้:

  1. การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน
  •     เกิดมากในช่วงวัยหมดประจำเดือน (วัยทอง)
  •     หลังคลอดบุตร
  •     ขณะให้นมบุตร
  •     หลังผ่าตัดรังไข่
  •     การรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด

 

  1. ความเครียดและปัญหาทางจิตใจ
  •     ความเครียดสะสมอาจมีผลต่อระดับฮอร์โมน
  •     ภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลเรื้อรัง

 

  1. ยาบางชนิด
  •     ยาต้านฮิสตามีน ยาแก้แพ้
  •     ยาต้านฮอร์โมนสำหรับรักษามะเร็งเต้านม
  •     ยาคุมกำเนิดบางชนิด

 

  1. พฤติกรรมบางอย่าง
  •     การล้างช่องคลอดด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง
  •     การใช้สบู่หรือเจลล้างที่ทำลายสมดุล pH

 

อาการของช่องคลอดแห้ง

ผู้หญิงที่มีภาวะช่องคลอดแห้งมักมีอาการดังนี้:

  •     แสบหรือคันบริเวณช่องคลอด
  •     เจ็บหรือไม่สบายขณะมีเพศสัมพันธ์
  •     ตกขาวผิดปกติ
  •     ช่องคลอดมีกลิ่นอับ
  •     ปัสสาวะบ่อย หรือมีอาการคล้ายติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

 

วิธีแก้ช่องคลอดแห้งแบบปลอดภัยและได้ผล

  1. การใช้สารหล่อลื่น (Lubricants)
  • ช่วยลดการเสียดสีระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการชั่วคราว

 

  1. การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ช่องคลอด (Vaginal Moisturizers)
  • เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นระยะยาว เช่น เจลหรือครีมเฉพาะทาง ใช้เป็นประจำเหมือนครีมบำรุงผิว

 

  1. การรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทน (HRT)
  • เหมาะสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน โดยใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ยาทา ยาสอด หรือแผ่นแปะ
  • ข้อควรระวัง: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

 

  1. การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
  • เช่น สารสกัดจากถั่วเหลือง (Isoflavones), เมล็ดแฟลกซ์, โสม, วิตามินอี หรือสมุนไพรที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน

 

  1. การเลเซอร์ช่องคลอด (Vaginal Laser)
  • เทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผนังช่องคลอด คืนความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่น

 

  1. การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
  •     ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  •     ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  •     หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงต่อจุดซ่อนเร้น
  •     ลดความเครียด และนอนหลับให้เพียงพอ

 

วิธีแก้ช่องคลอดแห้งในวัยหมดประจำเดือน

วัยทอง คือช่วงเวลาที่ผู้หญิงมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างมาก ซึ่งนำไปสู่ปัญหาช่องคลอดแห้งได้บ่อยกว่าช่วงวัยอื่น การดูแลที่แนะนำสำหรับวัยหมดประจำเดือนคือ:

  •     ใช้ฮอร์โมนเฉพาะที่เพื่อบรรเทาอาการ
  •     ใช้สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
  •     หมั่นตรวจสุขภาพภายในเป็นประจำ

 

สรุป

การแก้ช่องคลอดแห้ง สามารถทำได้ด้วยหลากหลายวิธี ทั้งการดูแลตนเองเบื้องต้น การใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง ไปจนถึงการรักษาทางการแพทย์ สิ่งสำคัญคือการไม่ละเลยอาการเหล่านี้ และไม่ควรรู้สึกอายในการปรึกษาแพทย์ เพราะสุขภาพช่องคลอดที่ดีคือจุดเริ่มต้นของความมั่นใจและคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว

ทำความรู้จักกับ Radiesse ตัวช่วยเรื่องผิวสำหรับหนุ่มสาวยุคใหม่

 

การมีผิวที่สวยและสุขภาพดีเป็นความฝันของผู้หญิงทุกคนหรือแม้กระทั่งผู้ชายเองก็อยากจะมีผิวที่สวยและสุขภาพดีเช่นกัน เพราะการมีผิวที่สวยและสุขภาพดีนั้นช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเราเวลาที่ต้องออกไปข้างนอก แต่การมีผิวสวยนั้นก็ต้องแลกมาด้วยการดูแลและบำรุงผิวเช่นกัน ซึ่งการดูแลผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี Radiesse นวัตกรรมความงามที่จะช่วยให้ผิวดีจากภายในสู่ภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เส้นใยตาข่ายผิวใหม่ได้ถึง 5 ประการ เห็นผลชัดเจนและผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่าที่เคยมีมา วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับนวัตกรรมนี้กันครับ

 

Radiesse คืออะไร

Radiesse เป็นฟิลเลอร์ชนิดหนึ่งที่ใช้แคลเซียมไฮดรอกซิแอพพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite, CaHA) ในรูปแบบไมโครสเฟียร์ซึ่งผสมอยู่ในเจลพื้นฐานที่เป็นน้ำมันและน้ำ ตัวแคลเซียมไฮดรอกซิแอพพาไทต์เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในกระดูกมนุษย์ ทำให้ Radiesse มีความเข้ากันได้ดีกับร่างกายและลดความเสี่ยงของการแพ้หรือปฏิกิริยาต่อต้านที่อาจเกิดขึ้น

 

วิธีการทำงานของ Radiesse

  1. การเติมเต็มทันที : Radiesse ประกอบด้วยไมโครสเฟียร์ของแคลเซียมไฮดรอกซิแอพพาไทต์ (CaHA) ที่ฝังอยู่ในเจลพื้นฐาน ไมโครสเฟียร์เหล่านี้เมื่อฉีดเข้าไปในผิวหนังจะทำหน้าที่เป็นเตียงให้การเติมเต็มทันทีในพื้นที่ที่มีริ้วรอยหรือลักษณะที่ต้องการปรับปรุง เช่น ร่องแก้มลึก ริ้วรอยรอบปาก และเสริมความเด่นชัดให้กับกรอบหน้า
  2. การกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน : แคลเซียมไฮดรอกซิแอพพาไทต์ใน Radiesse ยังช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้ผลิตคอลลาเจนชนิดใหม่ ซึ่งเป็นโปรตีนหลักที่ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและเต่งตึง. คอลลาเจนช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและเสริมความแข็งแรงให้กับผิวหนัง ด้วยผลของการกระตุ้นคอลลาเจนนี้ทำให้ผลลัพธ์จากการรักษามีความยั่งยืนยาวนาน

 

ข้อควรระวังก่อนการรักษาด้วย Radiesse

  1. ผู้ที่มีประวัติการแพ้ส่วนประกอบของ Radiesse เช่น แคลเซียมไฮดรอกซิแอพพาไทต์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์นี้
  2. ผู้ที่มีการติดเชื้อหรือการอักเสบบริเวณที่จะทำการรักษาควรรอให้หายดีก่อน
  3. หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรักษา

 

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจาก Radiesse

  1. การเกิดอาการบวม แดง คัน หรือเจ็บที่บริเวณที่ฉีด
  2. การเกิดช้ำหรือเลือดออกเล็กน้อยที่บริเวณที่ฉีด
  3. ในบางกรณีอาจมีการเกิดก้อนเล็กๆ ใต้ผิวหนังที่บริเวณที่ฉีด
  4. ผลข้างเคียงที่หายาก ได้แก่ การติดเชื้อ การแพ้รุนแรง หรือการเปลี่ยนแปลงในสีผิวที่บริเวณที่ฉีด

 

การดูแลหลังการรักษา Radiesse

  1. หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดที่บริเวณที่ได้รับการรักษาในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
  2. หลีกเลี่ยงการแสดงตัวแรงๆ หรือการออกกำลังกายหนักในช่วงสองถึงสามวันแรกหลังการรักษา
  3. ใช้ครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงการได้รับแสงแดดโดยตรงเพื่อป้องกันการอักเสบหรือช้ำที่อาจเกิดขึ้น

 

ข้อสรุป

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อควรระวังและผลข้างเคียงของการทำ Radiesse เหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถเตรียมตัวและจัดการกับผลลัพธ์หลังการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

วัคซีนมะเร็งปากมดลูก

วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก

วัคซีนมะเร็งปากมดลูกมีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้หญิง เนื่องจากมะเร็งปากมดลูกเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้หญิง และสาเหตุหลักของโรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งเป็นไวรัสที่สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์

 

เหตุผลที่วัคซีนมะเร็งปากมดลูกสำคัญ

ป้องกันเชื้อ HPV ที่ก่อมะเร็ง

  •      HPV มีหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงในการก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก เช่น HPV 16 และ 18
  •      วัคซีนสามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV ได้ถึง 70-90% ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน

 

ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูก

  •      เชื้อ HPV ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในปากมดลูก หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่มะเร็งปากมดลูกได้
  •      วัคซีนช่วยลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกในระยะยาว

 

ป้องกันโรคอื่นที่เกิดจากเชื้อ HPV

  •      นอกจากมะเร็งปากมดลูก เชื้อ HPV ยังเกี่ยวข้องกับมะเร็งในบริเวณอื่น เช่น มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องคลอด และหูดหงอนไก่

 

ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อฉีดในช่วงอายุที่เหมาะสม

  •      วัคซีนมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก เพราะจะป้องกันการติดเชื้อได้ก่อนสัมผัสเชื้อ HPV

 

ลดการแพร่กระจายเชื้อ

  •      เมื่อผู้หญิงได้รับวัคซีน จะช่วยลดการแพร่เชื้อไปสู่คู่นอน และช่วยลดการระบาดของเชื้อ HPV ในสังคม

 

ช่วงอายุที่แนะนำในการฉีดวัคซีน

  •      เด็กหญิงและหญิงสาวอายุ 9-26 ปี: เป็นช่วงที่แนะนำมากที่สุด
  •      ผู้หญิงอายุเกิน 26 ปี: ยังสามารถฉีดวัคซีนได้ โดยเฉพาะถ้ายังไม่เคยติดเชื้อ HPV หรือได้รับวัคซีนมาก่อน

 

การฉีดวัคซีนในประเทศไทย

  • วัคซีนมะเร็งปากมดลูกที่ใช้มี 3 ชนิด ได้แก่
  • วัคซีนสองสายพันธุ์ (Bivalent): ป้องกัน HPV 16 และ 18
  • วัคซีนสี่สายพันธุ์ (Quadrivalent): ป้องกัน HPV 6, 11, 16, และ 18
  • วัคซีนเก้าสายพันธุ์ (Nonavalent): ป้องกัน HPV 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52, และ 58

 

ข้อควรรู้เกี่ยวกับวัคซีนมะเร็งปากมดลูก

  • วัคซีนไม่ได้รักษา

วัคซีนมีไว้สำหรับป้องกันเท่านั้น ไม่สามารถรักษาการติดเชื้อ HPV ที่เกิดขึ้นแล้วได้

 

การตรวจคัดกรองยังสำคัญ

  •      แม้ฉีดวัคซีนแล้ว ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap smear หรือ HPV DNA test) เป็นประจำ เพราะวัคซีนไม่สามารถป้องกันสายพันธุ์ HPV ได้ทั้งหมด

 

ผลข้างเคียงต่ำ

  •      ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือ ปวด บวม หรือแดงบริเวณที่ฉีด บางรายอาจมีไข้หรือเวียนหัวเล็กน้อย

 

ข้อสรุป

วัคซีนมะเร็งปากมดลูกเป็นการลงทุนด้านสุขภาพที่สำคัญสำหรับผู้หญิงทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นและวัยสาว ช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกและโรคอื่นๆ ที่เกิดจากเชื้อ HPV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับวัคซีนในเวลาที่เหมาะสม

 

เหลือเชื่อ มะนาวสามารถทำให้เลิกบุหรี่ได้

image001

 

วันนี้เราได้ข้อมูลดีๆ ที่เป็นความรู้ใหม่มาฝากกันครับ นั่นก็คือ มะนาว สามารถที่จะทำให้เรานั้นเลิกบุหรี่ได้ เหลือเชื่อไปเลยใช่ไหมล่ะครับ

การที่เราจะใช้มะนาวในการเลิกบุหรี่นั้น เราต้องนำมะนาวมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วต้องมีเปลือกติดมาด้วยนะ ต้องหั่นให้เป็นชิ้นพอดีคำ และเมื่อใดก็ตามที่เราอยากจะสูบบุหรี่ ก็ให้เรานำมะนาวที่หั่นไว้นี่หละ มาเคี้ยวๆ อย่างช้าๆประมาณซัก 3-5 นาที หลังจากนั้นก็ให้ดื่มน้ำสักอึก เมื่อเสร็จแล้วก็ให้ไปสูบบุหรี่ได้เลย ทีนี้เราก็จะรู้แล้วใช่ไหมล่ะครับว่า รสชาติมันเป็นอย่างไร เพราะมะนาวเมื่อสักครู่นี้ล่ะครับ เลยทำให้ลิ้นเรามีรสข่ม แล้วก็เฝื่อน พอเรามาสูบบุหรี่ มันก็จะทำให้รสบุหรี่ขม จนไม่อยากสูบมันต่อไปอีก คลินิกเลิกบุหรี่บอกว่าเคยลองใช้ผลไม้อื่นๆที่ให้ความเปรี้ยวเหมือนกับ แต่สุดท้ายแล้วมะนาวนี่ล่ะ แจ๋วที่สุด

ทีนี้เมื่อใดก็ตามที่เราอยากสูบบุหรี่ ก็ให้เตรียมหั่นมะนาวไว้ให้พร้อมในตู้เย็นไว้เลยนะครับ พออยากเมื่อไรก็เอามากินเลย รับรองว่าไม่เกิน 2 อาทิตย์เลิกได้แน่นอน แต่ไปติดมะนาวแทน ล้อเล่นนะครับ สูตรนี้ประหยัดและได้ผลด้วย อยากให้ลองนำวิธีนี้ไปใช้กันเยอะๆนะครับผม

3 อาหารที่กระตุ้นให้เกิดการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

Close up of soy beans in isolated white background

 

ในเมื่อวันวันหนึ่งนั้น เราแทบจะไม่มีเวลาเลือก หรือดูสักเท่าไรว่าเราจะกินอะไรบ้างในวันวันหนึ่ง แต่จากนี้ไปเราควรที่จะต้องหันมามองกันบ้างแล้ว เพราะว่าวันนี้เราจะมาบอกว่า มีอาหารอะไรบ้างที่ทำให้เราเสี่ยงที่จะเกิดโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ มากขึ้น โดยอาหารที่เราเลือกมา 3 อย่างที่ทำให้เสี่ยงต่อการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศนั้นมีดังนี้

ถั่วเหลือง

ฟัง แล้วแทบตกใจว่า ถั่วเหลืองนี่นะ ไหนบอกว่ามีแต่ประโยชน์ไง มันก็มีประโยชน์ครับ แต่ด้วยความที่ในถั่วเหลืองนั้นมีสารที่เรียกว่าเอสโตรเจนมาก ถ้าเรากินมากเกินไป จะเสี่ยงทำให้เราเกิดการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศมากขึ้น

     2.หอยนางรม

ใน หอยนางรมนั้นมีธาตุสังกะสีที่ช่วยป้องกันการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ แต่อีกด้านนึงการกินหอยมากๆก็ทำให้เกิดโทษและเกิดการเสี่ยงเสื่อมสมรรถภาพ ทางเพศมากขึ้น เราควรจะทดแทนสังกะสีด้วยอาหารประเภทอื่นแทนจะดีกว่าครับ

  1. กาแฟ

การ ดื่มกาแฟมากๆนั้นจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการทำลายต่อมหมวกไตซึ่งมีหน้าที่ ผลิตฮอร์โมนเครียด ซึ่งถ้าคุณมาคาเฟอีนมากไปมันจะไปทำให้ฮอร์โมนเครียดไม่สมดุล ทำให้เกิดการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

นี่เป็นเพียงอาหารไม่กี่อย่างที่ เราได้ทำการยกตัวอย่างมาให้ดู ซึ่งจริงๆแล้วยังมีอาหารอีกหลายอย่างที่เสี่ยงทำให้เกิดการเสื่อมสมรรถภาพ ทางเพศ แต่อย่างน้อยๆ วันนี้เราก็ได้รู้กันไปบางชนิดแล้ว หลังจากนี้ก็ระมัดระวังในการทานให้มากขึ้นนะครับ เพื่อไม่ให้เราเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกมาจากไหน

image001

 

ส่วนมากอาการเจ็บหน้าอกนั้นมาจากการที่คนเราออกแรงเกินกำลังบ่อยๆ อย่างเช่น การออกกำลังการทำงานหนักๆ เป็นต้น ใครหลายคนคิดว่าการที่เรานั้นออกกำลังกายถือเป็นเรื่องที่ดี ใช่ค่ะคิดแบบนั้นก็ถูก แต่ถ้าหากว่าออกกำลังกายหนักเกินไป นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเพราะหากว่าเรานั้นทำอะไรเกินพอดี ร่างกายก็จะทำงานไม่ทัน ดังนั้นการออกกำลังหนักๆ ทำงานหนักๆมากเกินไปถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และควรที่จะลดให้มันพอดีกับที่ร่างกายเราทำได้นั่นเอง แต่ก็มีวิธีที่สามารถหยุดอาการเจ็บหน้าอกได้ก็คือ หากว่าเราเริ่มรู้สึกเจ็บก็หยุดพักสัก 15 นาที

ในขณะที่เรานั้นกำลัง รับประทานอาหารอย่างอร่อย จนทานไปมากเกินกว่าที่ควรจะทาน หากว่าเรานั้นทำแบบนี้บ่อยๆอาการเจ็บหน้าอกก็จะเริ่มเข้ามา จนบางครั้งที่เรานั้นทานอาหารเยอะเกินไปก็เจ็บที่หน้าอกขึ้นมาได้ นั้นเป็นสัญญาณที่กำลังบอกว่าควรจะหยุดทานแบบนั้น แล้วทานอาหารให้พอดีกับที่ร่างกายต้องการ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปอาการเจ็บหน้าอกก็จะค่อยๆหายไปเองค่ะ

ไม่ใช่แค่ ไม่ออกกำลังกายมากเกินไป ไม่ทานอาหารมากเกินไปก็จะไม่เกิดการเจ็บหน้าอกแต่การที่เรานั้นเครียดมาก บ่อยๆก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เรานั้นเจ็บหน้าอกได้เช่นกันค่ะ ดังนั้นเราก็ควรที่จะปลงกับเรื่องต่างๆแล้วเลิกเครียดหันมาดูแลและใส่ใจใน การทานอาหารและออกกำลังกายอย่างพอดีก็จะทำให้ไม่เกิดอาการเจ็บหัวใจและรวมไป ถึงอาการและโรคอื่นๆด้วยนะคะ